การฝึกรับมือและปรับตัว
ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทุกวันนี้ท่านพึ่งพาเทคโนโลยีในยุคโลกาภิวัตน์มากน้อยแค่ไหน?
ถ้าหากจะนึกถึงกิจวัตรประจำวันของท่านตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั้งเข้านอน ท่านก็ยังคงต้องพึ่งพาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา แม้แต่กระทั้งยามท่านนอนหลับใหล ท่านก็ยังต้องพึ่งเครื่องอำนวยความสะดวก ทุกย่างก้าวของมนุษย์ยุคนี้แทบจะต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อความหย่อนใจ ความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต ทุกๆ อย่าง และเทคโนโลยีอันนี้ก็ค่อยกลืนกินรากเหง้าของบรรพบุรุษที่สร้างสมมาให้คนรุ่นหลัง ภูมิปัญญาในการใช้ชีวิตที่อิงกับธรรมชาติ ความเรียบง่าย ความเป็นไปเพื่ออยู่รอดตามอัตภาพ แต่มนุษย์ยุคนี้กลับค่อยๆ ลืมเลือน หันเข้าไปหาความทันสมัย ความโก้หรู ความฟุ่มเฟือย ชอบความสบายจนกลายเป็นความเคยชิน
แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราจะต้องคืนความสะดวกสบายนั้นกลับคืนให้กับธรรมชาติ แล้วท่านจะทำอย่างไร? อย่างที่ได้พรรณนาไปแล้วว่าอีกไม่เกินสิบปีนี้เราจะต้องเผชิญหน้ากับผลกรรมที่ทำร่วมกัน ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเป็นสัญญาณเตือนการเริ่มเข้าสู่กลียุค
แล้วเราควรจะทำอย่างไรให้เราสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในภาวะวิกฤติในตอนนั้นได้?
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ
-การทำใจเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบจากภัยพิบัติในอนาคตซึ่งเป็นการเริ่มปรับสภาพจิตใจให้ยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ให้ประมาทในการใช้ชีวิต และเป็นการเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นไปกับกระแสโลกแตกจนเกินไป ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาค่อยคิดค่อยหาทางต่อไป ฝึกทำใจอยู่เนื่องๆ ว่าถ้าเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ในตอนนั้นจะต้องทำอย่างไร คิดในหลักความเป็นจริงไม่ฟูมฟาย ไม่หดหู่ ไม่ท้อแท้ และไม่ประมาท เรายังมีเวลาเหลือให้คิดและฝึกอีกมากพอดู เราก็ใช้เวลาในวันนี้และวันต่อๆ ฝึกการรับมือ ฝึกการใช้ชีวิตที่พอเพียงอย่างที่พ่อหลวงได้ปลูกรากฐานเอาไว้ให้ ธรรมชาติเขาส่งบทเรียนมาให้เราเรียนรู้เสมอ หากเราใส่ใจที่จะมองและค้นหา วิธีการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ใกล้ตัวเราเสมอ ธรรมชาติมักจะคอยหยิบยื่นให้ถ้าเรารู้จักจังหวะและโอกาสที่จะรับและเรียนรู้ ที่สำคัญที่สุดอย่าประมาท หากท่านไม่ตายในเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้วชีวิตที่จะต้องอยู่ต่อล่ะจะเป็นอย่างไร? ถ้าหากท่านผู้มีปัญญาเชื่อว่าบุญกุศลนั้นมีจริง บาปกรรมมีจริง ชาติหน้ามีจริง สิ่งใดที่เราทำแล้วเป็นการเพิ่มบุญกุศลให้กับตัวเองและคนรอบข้างที่เรารัก ก็หมั่นทำ บางทีบุญกุศลนี้อาจจะพาเราไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยพบกัลยาณมิตรที่ดี หรือถ้าหากเราหมดบุญแล้วในชาตินี้ต้องเสียชีวิตในภัยพิบัติในครั้งนี้อย่างน้อยบุญกุศลที่เราทำและการทำใจปล่อยวางของเราก็จะพาเราไปสู่สุคติภูมิ
-วางแผนอนาคตภายในสิบปีนี้ ถ้าหากว่าท่านกำลังจะลงทุนทำอะไรในบริเวณพื้นที่ที่ต้องเสี่ยงกับภัยพิบัติ หรือวางแผนเก็บเงินสำหรับตั้งตัวหรือสำหรับอนาคตเพื่อความสบายตามแบบมนุษย์เมืองหลวง ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายลองเปลี่ยนมุมมองและปรับแผนอนาคตเสียใหม่ อย่างน้อยๆ ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงและท่านก็จะลงทุนอย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นลองทำใจห้าสิบห้าสิบเผื่อใจสำหรับความสูญเสีย ขาดทุนเอาไว้ก็ดีจะได้ไม่เสียใจมาก และก็เผื่อเงินฉุกเฉินไว้สักก้อนหนึ่งเพื่อเป็นทุนสำรอง สำหรับผู้มีปัญญาที่อยากจะลองเปลี่ยนแผนอนาคตลองคิดพิจารณาตามนี้อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับตัวท่านและครอบครัว หากท่านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ลองหาพื้นที่สำหรับอาศัยอยู่ในอนาคต พื้นที่นั้นสามารถทำการเกษตรเลี้ยงตัวเองและครอบครัวท่านได้ และเป็นที่ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติและโจรผู้ร้าย เพราะในอนาคตการเกษตรจะเฟื่องฟูใครที่ทำการเกษตรจะไม่อดตาย ท่านที่ไม่เคยมีความรู้ทางการเกษตรอิงธรรมชาติแบบไม่พึ่งพิงสารเคมี ก็เตรียมตัวศึกษาหาข้อมูลและลองเรียนรู้ในเวลาที่มีอยู่นี้ ลองวาดแผนผังการเกษตรในพื้นที่ของท่านว่าท่านจะทำอะไรกับพื้นที่ที่ท่านมีให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรสูงสุด
หากตอนนี้ท่านอยากที่จะหาที่อยู่ใหม่แต่เงินยังไม่พร้อมสักเท่าไร ก็ยังไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้ก็ค่อยๆ เก็บเงินไปก่อนสักสองสามปีก็ยังทัน จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวในด้านอื่นๆเอาไว้ และขอย้ำว่าการวางแผนนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าตื่นเต้น อย่าตื่นตูมจนเกินพอดี ท่านผู้มีปัญญาจงอย่าลืมว่า “ทำแค่พอดี” ไม่บีบบังคับจิตใจตัวเองจนเกินไป ไม่วิตกจริตจนเกินไป และการวางแผนสุดท้ายคือการเตรียมตัวทางจิตวิญญาณ ให้ท่านหันหน้าเข้าพึ่งหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มาก ตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศล ปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเองเสียใหม่ หันมาฝึกนั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะบ้าง สวดมนต์ไหว้พระ รู้จักให้ทานและรักษาศีล มองโลกในแง่บวก ฝึกปล่อยวางเพื่อเป็นการปรับสมดุลแห่งจิต กายก็จะเบา จิตก็จะเบาจะได้มีสติในการแก้ปัญหาในอนาคต ลองเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ทำได้มากได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่าปล่อยชีวิตไปวันๆ เสียดายเวลาที่เกิดมาเสียเปล่า
เพราะฉะนั้นท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายขอให้ท่านรู้จักวางแผนอนาคตตัวเองทั้งอนาคตทางโลกและอนาคตทางธรรมเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง
-ฝึกปรับตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ลดการพึ่งพากับเทคโนโลยีให้น้อยลง เพราะในอนาคตเราจะต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้น้อยลงต้องพึ่งพาธรรมชาติมากขึ้น ถ้าเราไม่ฝึกปรับตัวในตอนนี้เมื่อเราต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกเลย เราจะลำบากและจะรู้สึกเป็นทุกข์ไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงทำให้จิตใจหดหู่ ท้อแท้ อะไรก็ติดขัดไปหมด เอาง่ายๆท่านลองคิดว่า ถ้าในหนึ่งวันของท่านเกิดไฟดับน้ำไม่ไหลท่านจะใช้ชีวิตอย่างไร จะรู้สึกหงุดหงิดหรือเปล่า อะไรที่ต้องเสียไปบ้างในหนึ่งวัน ลองคิดพิจารณาดูเอาเถอะ เพราะฉะนั้นให้เราฝึกหัดการใช้ชีวิตที่อิงกับธรรมชาติให้มากขึ้น พยายามพึ่งตัวเองให้มาก สิ่งไหนที่เราทำได้ด้วยตัวเองก็ทำให้เกิดความเคยชิน
-ศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง หัดพึ่งพาการอยู่อย่างพอเพียงสร้างแหล่งอาหารเพื่อเลี้ยงคนในครอบครัวงดการพึ่งพิงโลกภายนอกโดยการปลูกทุกอย่างที่เรากิน กินทุกอย่างที่เราปลูกและลดการใช้สารเคมีในการบำรุงพืชผักหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่สามารถผลิตเองได้ เพราะในอนาคตสารเคมีเหล่านี้จะส่งผลอย่างมากต่อร่างกายเรา เราต้องหันมาปลูกพืชผักที่ปลอดสารพิษเพื่อการมีสุขภาพดีของตัวเราเอง ถ้าจะให้พูดถึงระบบการรักษาพยาบาลอนาคตก็หวังพึ่งได้น้อยลง โรคทั้งหลายจะดื้อยา ถึงมีเงินมากก็ไม่สามารถซื้อชีวิตเราได้ เพราะฉะนั้นสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันไว้ดีก่อนแก้ เมื่อสุขภาพดีแล้วโรคใดๆก็ไม่ต้องไปถามหา ส่วนเมล็ดพันธุ์ต้องมีการจัดเก็บแม่พันธุ์เอาไว้ทุกครั้งและมั่นใจว่าไม่ใช่พวกพืชที่ตัดต่อพันธุกรรมเพราะพืชเหล่านี้เราสามารถนำมาปลูกได้แค่ครั้งเดียวเพราะส่วนใหญ่เป็นพืชที่ตัดต่อพันธุกรรมให้เป็นหมัน ถ้าเราต้องการจะปลูกอีกก็ต้องไปหาซื้อมาปลูกใหม่ ปัจจุบันวัฏจักรของระบบเกษตรเราเป็นแบบนี้ เราสร้างความร่ำรวยให้กับระบบนายทุน และในเวลาเดียวกันเราก็กำลังทำลายการสืบต่อของพืชพันธุ์ไปด้วยในตัว ต่อไปในอนาคตเมล็ดพันธุ์และพืชพรรณธัญญาหารจะหายาก หรือถ้ามีก็จะราคาแพงเพราะโดนกดขี่จากระบบนายทุน ข้าวก็ยากหมากก็แพง เพราะต่างคนก็ต่างเห็นแก่ตัวเอาตัวเองรอด เพราะฉะนั้นเราต้องพึ่งตัวเองทุกอย่าง รู้จักกินรู้จักใช้ทรัพยากร ตอนนี้ท่านผู้มีปัญญาก็ลองมองหาเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นเอาไว้ ศึกษาวิธีการปลูกและลองวางแผนเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ท่านต้องการกินต้องการใช้เอาไว้ หากมีพื้นที่ก็ทดลองปลูกและปรับปรุงพันธุ์ไปเรื่อยๆ โดยให้อิงกับธรรมชาติให้มากที่สุด พืชพรรณจะได้สืบต่อชั่วลูกชั่วหลาน
-ฝึกร่างกายให้พร้อมหมายความว่าหมั่นออกกำลังกายทำร่างกายให้แข็งแรง ฝึกความอดทนต่อสภาพอากาศ ฝึกความอดทนต่อความยากลำบากเพราะเราต้องหันหน้าไปพึ่งอาชีพเกษตรกรรมเพื่อความอยู่รอด ฉะนั้นร่างกายเราจะต้องปรับตัวให้ทนกับสภาวะแวดล้อมนั้น ถ้าเราฝึกร่างกายให้ทนกับสิ่งเหล่านี้ได้แล้วร่างกายและจิตใจเราก็จะเคยชิน ไม่ทุกข์ร้อนกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงจากวิถีชีวิตเดิมที่เคยอยู่สุขสบาย จะค่อยๆเกิดการยอมรับและปรับตัวในที่สุด
-หันกลับไปพึ่งภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ เราลองกลับไปศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษเราดูว่าท่านเหล่านั้นดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร โดยไม่ได้พิงพาเทคโนโลยีเลย ท่านใช้ภูมิปัญญาล้วนๆ ในการดำรงชีพอยู่ได้ด้วยความพอเพียง ภูมิปัญญาในอดีตจะกลับมาใช้ได้อีกครั้งในอนาคตอีกสิบปี เราต้องเข้าไปศึกษาเรียนรู้ว่าบรรพบุรุษของเราได้ถ่ายทอดอะไรไว้ให้กับเราบ้างที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ อย่างเช่น การทอผ้าใช้เอง วิธีการหุงข้าวแบบเก่า การทำน้ำตาลอ้อย น้ำตาลมะพร้าวไว้แทนน้ำตาลทรายสีขาวที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ การทำน้ำปลา การโม่แป้งไว้ใช้ทำอาหารทั้งของหวานของคาว วิธีการถนอมอาหาร การหาเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง การเผาถ่านไว้ใช้ การทำภาชนะ การสร้างบ้าน การใช้สมุนไพร และอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถพรรณนาได้หมด มนุษย์เราจริงๆ แล้วต้องการแค่ปัจจัยสี่นั้นคือ เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่
ท่านผู้มีปัญญาลองพิจารณาและหาเตรียมตัวศึกษาเอาไว้ก็ไม่เสียหลาย จากที่ได้พรรณนามาทั้งหมดนี้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายการฝึกรับมือและปรับตัวในอนาคตเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องศึกษาเรียนรู้และลงมือปฏิบัติกันตั้งแต่วันนี้เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันแล้วเราจะได้มีอาวุธต่อสู้กับความยากลำบากและอุปสรรคในอนาคตได้ สิ่งสำคัญ อย่าประมาท อย่าขาดสติในการใช้ชีวิต และหันมาพึ่งพาตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้พอประมาณและเกิดสมดุลในตัวเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น