วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากจิตศักดิ์สิทธิ์


เรื่องเล่าจากจิตศักดิ์สิทธิ์
รอยต่อพระศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดมและพระศรีอริยเมตไตรย   
           การประกาศศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดมประกาศไว้ว่า ต่อไปข้างหน้าบ้านเมืองจะเปรียบเสมือน ตารางหมากรุก  เหล็กจะลอยขึ้นเหนือน้ำ   เหล็กจะลอยอยู่ในนภากาศ  ฝนกรดจะตกลงมาเป็นลูกไฟ  พระอาทิตย์จะขึ้นถึง 7 ดวง น้ำจะสูงเท่าชั่ว 7 ลำตาล น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว  แม่โคจะกินนมลูกโค ม้ามีสองปากสร้าง
           บ้านเมืองจะเป็นตาหมากรุกก็คือถนนหนทางที่ถูกสร้างขึ้นมามากมายเพื่อรองรับความเจริญของผู้คนยุคนี้สร้าง
           เหล็กจะลอยเหนือน้ำ ปกติเหล็กนี้จะจมน้ำแต่มนุษย์รู้จักเอาเหล็กมาตีเป็นแผ่นบางๆ แล้วมาสร้างเป็นเรือเหล็กที่ลอยน้ำได้  
          เหล็กจะบินได้ก็คือเครื่องบิน เพราะมนุษย์ยุคนี้การเดินทางและการขนส่งจะรวดเร็วทันใจ จะไปไหนต่อไหนก็ไปได้ เพราะมีเครื่องบินมียานพาหนะไว้ใช้สอย 
          ฝนกรดจะตกเป็นลูกไฟก็คือลูกระเบิดนี้เอง เมื่อมนุษย์มีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้องจนทำให้เกิดการแบ่งแยกความคิด ว่านี่พวกฉัน นี่พวกเธอ นี่ของฉัน นี่ของเธอ  เกิดทิฐิมานะ เกิดความอยากได้ของคนอื่น จนกลายมาเป็นสงคราม ต้องมารบราแย่งชิงฆ่าฟันกันเอง ประดิษฐ์คิดค้นอาวุธทำลายล้างซึ่งกันและกัน ประเทศไหนสามารถประดิษฐ์อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างได้มากก็เป็นผู้มีอำนาจเป็นผู้ชนะ ก็เกิดวงเวียนของการชิงอำนาจ ความเป็นใหญ่ โลกมนุษย์จึงต้องวุ่นวายอยู่จนทุกวันนี้ 
          พระอาทิตย์จะขึ้นถึง 7 ดวง ก็คือไฟจากกิเลสของมนุษย์ ไฟโกรธ  ไฟโลภ ไฟหลง เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นถึง 7 ดวง ทั้ง 7 วัน ไม่มีวันพระไม่มีวันโกน ไม่รู้จักคุณธรรม ไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักเจ้า ไฟจะล้างโลก ก็คือไฟของกิเลสตัณหาราคะ โมหะ โทสะ ที่กินกัน โกง อิจฉา ริษยา อาฆาต พยาบาท จองเวรกันของมนุษย์เรานี่เอง 
          น้ำจะสูงชั่ว 7 ลำตาล สมัยก่อนใช้น้ำคำใช้น้ำใจ แต่เดี๋ยวนี้คือใช้น้ำกิเลสตัณหา ราคะ โมหะ โทสะ น้ำราคะ น้ำกามกิเลส ฆ่ากันฟันกัน นั่นแหละเพราะ น้ำกิเลส 
          น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว ก็คือเด็กผู้ใหญ่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตรงไหนดีตรงไหนชั่ว ไม่รู้จักคุณธรรม 
          แม่โคจะกินนมลูกโค ก็เหมือนว่าพ่อแม่ที่แก่เฒ่าชราแล้วก็ต้องมาอ้อนวอนลูก ให้ลูกเลี้ยง พินอบพิเทากับลูก 
          ม้ามีสองปากต่างคนก็แย่งกันป้อน ก็คือพวกทนายความ ผู้พิพากษา อัยการ ฝ่ายโจทย์ก็ยัดเงิน ฝ่ายจำเลยก็ยัดเงิน นั่นแหละม้ามันมีสองปาก
          พุทธทำนายว่า ไฟล้างโลก ก็คือ ความร้อนกระวนกระวายของกิเลส ลูกไฟจะตกก็คือการระเบิดปรมาณู ที่ทำให้สั่นสะเทือนให้เปลือกโลกแตกก็จะกลายเป็นลูกไฟหลายๆ ดวง น้ำก็จะล้างโลกซึ่งมาจากอุปกิเลสของมนุษย์ที่เกิดมาเป็นน้ำราคะ ที่พุ่งขึ้นทั่วทุกที่ พอเปลือกโลกแตกโลกจะกลายเป็นลูกไฟเปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้น 7 ดวงทั่วพิภพ  พระองค์ตรัสว่าผู้ที่อยู่รอดได้ก็จะต้องอยู่เลยสวรรค์ชั้นที่ 3 ขึ้นไป คือสวรรค์ชั้นที่ 4 ถึงจะพ้นภัย ก็เปรียบเสมือนคนเรามีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต้องมีพรหมวิหาร 4 ถึงจะเป็นพ้นภัยได้ ท่านเปรียบไว้อย่างนั้น
          ตั้งแต่เริ่มพระศาสนา พ.ศ. 500 ปีแรก ภิกษุณีจะไม่มี เมื่อถึง พ.ศ. 1,000 ปีไปแล้ว  ธรรมะที่จรรโลงพระศาสนาก็จะแบ่งแยกออกเป็น 3 ส่วน พวกที่เป็นอลัชชี ก็ถือว่าธรรมะของตนดี ล่วงสู่ พ.ศ. 1,500 ปีก็จะเริ่มเสื่อมจากคุณธรรม จะรบราฆ่าฟันล้างชาติล้างตระกูลกัน ประชาชนเหลือไม่เท่าเดิม พอย่างเข้า พ.ศ. 2,000 ปี ต้นไม้ใบหญ้าก็จะแห้งแล้งเผาหลน ประชาชนทั่วไปก็จะเกิดความเดือดร้อน  
          พ.ศ. 2,500 ปี สิ่งที่เราไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยพบก็จะได้พบ ข้าวจะยากหมากจะแพง เทคโนโลยีโลกาวิวัฒน์ก็จะเกิด  ความวินาศ วาตภัย อุทกภัยจะเกิด 
          พ.ศ. 3,000 ปี  มนุษย์เราก็จะด้อยลง ต่ำลงเตี้ยลง ไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักสงฆ์ เอาคนเป็นพระ เอาพระเป็นคนมั่วกามโลกีย์ พระก็ไม่ใช่พระ คนก็ไม่ใช่คน
          พ.ศ. 3,500 ปี เด็กน้อย ก็จะขึ้นครองเมืองรุ่งเรืองด้วยปัญญา ผู้ใหญ่ก็จะตกอับกลับมาเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา หมายถึงว่าเป็นง่อยเปลี้ยเสียขา ทุพพลภาพ ไม่มีปัญญาหากิน พ.ศ. 4,000 ปี ที่เป็นพระอยู่ก็แค่ผ้าเหลืองน้อยห้อยหูก็ถือว่าเป็นพระแล้ว ไปทำไร่ไถนาหากินหาอยู่ มีลูกมีเมียได้ อายุก็จะสั้นเข้า จาก 80 ปี ก็จะมาเหลือ 40 ปี เด็กน้อยจะสอยมะเขือกินก็คือผู้ใหญ่ต้องสอยมะเขือเหมือนเด็กน้อยสอยมะเขือ
           พ.ศ. 4,500 ปี ลงจากบ้านไม่รู้จักกัน ออกจากเรือนก็จะฆ่าฟันกันตาย ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์ ไม่มีอะไรเลย สมณชีพราหมณ์ก็ไม่มี  ศีลมันก็หดหายไป ไม่มีใครรู้จักใครเลย จะเหลือคนอยู่กลุ่มเดียวคือ 7 ร่มโพธิ์ คือผู้ที่มีพรหมวิหาร 4 รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ ผู้ที่มีศีล 5 จะมีอยู่แค่ 7 ร่มโพธิ์เท่านั้น ก็จะอยู่ตามถ้ำ ตามเขา ปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ตาย มีบุญญาธิการ ไม่ได้ออกมามั่วอยู่กับกิเลสตัณหา มีศีล 5 มีพรหมวิหาร 4
           พอย่างเข้า พ.ศ. 5,000 ปี  มนุษย์เราก็กลับไปเป็นสัตว์เหมือนเดิม ไม่รู้จักคำว่าพ่อ แม่ พี่น้อง สมสู่กันเยี่ยงสัตว์ พี่น้องพ่อแม่ไม่มี  ไม่รู้จักรัก ไม่มีความดีเลย  หมดยุคของ พ.ศ. 5, 000 ปี น้ำก็จะล้างโลกไฟจะไหม้ทั่วพิภพแดน พอหลังจากนั้นประมาณ 10,000 ปี  ถึง 40,000 ปี แผ่นดินนี้ก็จะสูงขึ้นมาอีกโยชน์หนึ่ง คือสิ่งปรักหักพังทั้งหลาย ระเบิดปรมาณูที่ฆ่ากันตาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะท่วมสูงขึ้นๆ  จนกระทั่ง ราบเรียบเป็นหน้ากลอง 
          เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมี พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬไปอาราธนานิมนต์พระศรีอริยเมตไตรย ลงมาจุติในพิภพมนุษย์ เพราะว่าสมัยนั้นจะเหลืออยู่แค่ 7 ร่มโพธิ์ จะเหลือพราหมณ์ กับ พรหม ก็คือผู้มีศีล 5 และก็ผู้ที่ถือพรหมวิหาร 4 ในสมัยนั้นพระพุทธองค์สมเด็จพระตถาคตพระศรีอริยเมตไตรย ก็จะลงมาจุติในพรหม พระนามว่าพระพรหมมณี ขณะนั้นบ้านเมืองก็จะเรียบเลิศประเสริฐ เรียบเป็นหน้ากลอง จะมีศีล 5 ที่บริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร 4 พระศรีอริยเมตไตรยจะมีแม่นมถึง 6 พระองค์ และมีเมีย 4 พระองค์ จะมารื้อเวไนยสัตว์ ทรงเป็นประมุข เป็นองค์พระสุคต ได้สั่งสอนอริยธรรมกับเวไนยสัตว์ ผู้คนสมัยนั้นไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องหุงหาอาหารกิน ศีลเป็นผู้ควบคุม มีความสว่าง สงบ ผิวกายเหลืองเป็นทองคำ พอลงจากบ้านไปก็มีต้นโพธิ์หรือต้นกัลปพฤกษ์อยู่ 4 มุมเมือง  คนไหนอยู่ใกล้เขตไหนมณฑลไหนก็จะไปที่ต้นโพธิ์นั้น ก็เหมือนกับปัจจุบันที่เข้าโบสถ์ ไปวัดกันนี่เอง ก็อิ่มทิพย์ อิ่มด้วยปิติ ไม่หิว ไม่โหย สบายๆ จะไปทางไหนก็เป็นสัญลักษณ์จะแยกเป็นสองฝั่ง  ฝั่งหนึ่งขึ้น ฝั่งหนึ่งล่อง จะเป็นอัตโนมัติ
         ผู้ที่มีศีลสะอาด ที่ทำปัจจุบันอยู่หวังจะพบศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย ก็เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ประเสริฐ บังเกิดแล้วในโลกมนุษย์ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ดั่งแก้ว 3 ประการ พระตถาคตได้มาจุติเกิดในโลกมนุษย์ มีต้นไทรใหญ่เป็นบัลลังก์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือพระศรีอริยเมตไตรยสำเร็จที่โพธิ์พระศรี คือต้นไทรใหญ่ หรือต้นกากะทิง สมัยนั้นมนุษย์เราก็จะรุ่งเรืองจำเริญ มีความสุขความเจริญ อยู่กระทั่งพ้นกัลป์ ก็คืออายุขัยประมาณ 80,000 ปี  สูง 8 ศอก
         แต่ผู้ที่จะไปเกิดทันพระศรีในองค์พระตถาคตพระองค์ได้ประกาศสัจธรรมไว้ว่า ถ้าวันที่เทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ของพระเวสสันดรชาดก เต ชะ สุ เน มะ ภู สะ นา วิ เว พระเจ้าสิบชาติ  ก็ต้องทำดอกบัวหรือเอาดอกบัวไปบูชาพระรัตนตรัยถึง 1,000 ดอก ถึงจะได้ไปทันพระศรีอริยเมตไตรย หรือไม่ก็เป็นผู้มีศีล 5 สะอาด มีศีล 8 มีศีลอุโบสถที่บริสุทธิ์ผุดผาดและจะได้ไปเกิดทันพระศรีอริยเมตไตรย ทำบุญทำกุศล สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างศาลา ช่วยเหลือเด็กยากไร้ยากจน ขุดสระน้ำ สร้างถนนหนทาง ถึงจะได้ไปเกิดทันในศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็จะอยู่ดีมีสุขไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ไม่มีกิเลสตัณหา ราคะ โมหะ โทสะ ทั้งหลายเพราะกรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ นั่นคือกรรมดี ในสมัยนี้มีแต่กรรมชั่วเพราะคนเพ้อเจ้อ วุ่นวาย มีแต่โลภ โกรธ หลง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีอิจฉา อาฆาต พยาบาท จองเวร มีพระเวทย์ มีพระธรรม มีคุณไสย มีไสยศาสตร์  พุทธศาสตร์ ส่วนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเป็นส่วนน้อยเพียงส่วนเดียว เพราะคนในศาสนาขององค์สมเด็จพระสุคตพระมหาสมณโคดมจะตกนรกถึง 3 ส่วน จะขึ้นสวรรค์เพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่สมัยของพระศรีอริยเมตไตรยจะขึ้นสวรรค์ทั้ง 4 ส่วน ไม่ตกนรกเลย ด้วยบารมีที่สร้างกันในปัจจุบันนี้แหละที่จะเกิดตอนนั้น            
          ถ้าใครอยากจะได้ไปทันศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย ที่ไม่ตกไม่หล่นในองค์สมเด็จพระสมณโคดมนี้ก็ยังจะบำเพ็ญเพียรภาวนาได้ ด้วยการละ วาง หยุดใจ ให้สะอาด สว่าง สงบ เพราะทั้งแผ่นดินธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็มาจากกรรมเดิมของมนุษย์ทั่วพิภพทั้งโลก มีอยู่ 80-90 ประเทศเหมือนกันหมด มีกาม มีกิน มีเกียรติ มีโกง อิจฉา อาฆาต พยาบาท จองเวร มีประเทศไทยเราที่ดีที่สุดในปัจจุบัน มีคนนับถือศาสนาพุทธเป็นเนืองนิจมีศีล 5 มีศีล 8 รักษาศีลอุโบสถไปวัด ช่วยเหลือเด็กยากไร้ ยากจน ศาสนาเดี๋ยวนี้มีเพียงส่วนเดียว อีก 3 ส่วนก็จะมีเกียรติยศ ชื่อเสียง กาม กิน เกียรติ โกงกินกัน ตามกรรม เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มั่วในโลกีย์วิสัย หาความจริงใจไม่ได้  มีแต่อิจฉา อาฆาต พยาบาท จองเวร 
         นี่คือการประกาศพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดม เพราะว่าท่านอายุได้ 80 พรรษา พญามารมาทูลเชิญ และเมื่อไหร่เล่าพระตถาคตเจ้าจึงจะเสด็จปรินิพพาน เพราะท่านจะมีอายุแค่ 80 พรรษาเท่านั้น ก็จึงมีปริศนาธรรมถามพระอานนท์ว่า...           
          ดูก่อนอานนท์... ถ้าหากว่าบ้านมันเก่าแล้ว เราจะซ่อมดีหรือเราจะปลูกใหม่ดี  พระอานนท์จึงทูลว่า ควรจะปลูกใหม่พระเจ้าข้า
          ถ้าหากซ่อมพระตถาคตก็จะอยู่ต่อให้ครบพระศาสนาถึง 5,000 ปี แต่ถ้าปลูกใหม่ก็หมายถึงว่า พระศาสนาของพระองค์ท่านก็จะสืบต่อมาด้วย พุทธบริษัท 4 ก็คือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา สืบศาสนาด้วยพระตถาคต พุทธบริษัท 4
          พระอานนท์ทูลถามว่า องค์สมเด็จพระสมณโคดมพระสุคตเจ้า ถ้าหากว่าบ้านเมืองนี้เล่าพระองค์สมเด็จเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ต่อพระศาสนา สังคายนาพระไตรปิฎก 
          ท่านจึงตรัสว่า ก็จะมีเหล่าภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่จะถือเพศพรต  ที่จะถือพรตพรหมจรรย์ให้ศาสนาของเราตถาคตนี้ยืนยาวไปถึง 5,000 ปี
          การประกาศพระศาสนา 1,000 ปีแรก ก็จะมีพระอรหันต์ พระขีณาสพ พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นผู้รักษาพระศาสนา พอมาถึง 2,000 ปีก็จะมีเทพพรหมทุกชั้น ทุกตำแหน่ง วิมาน พวกเทวดามาช่วยกันรักษาศาสนาไปจนถึง 2,500 ปี พระขีณาสพ พระอรหันตเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลายก็คุมศาสนามาได้ถึง 2,500 ปี รวมทั้งเทวดาด้วยคนละครึ่งทาง คนละ 1,250 ปี   และต่อไปหลังจาก 2,750 ปี ก็จะเป็นพวก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี โอปาติกะ สังเสทชะ  เป็นผู้มาดูแลศาสนา
          ซึ่งจาก 2,750 ไปถึง 5,000 ปี ก็จะมีพวกสัตว์นรก อสุรกาย พวกอสูร พวกมาร ก็จะมาขอดูแลพระศาสนาบางซึ่งเป็นช่วงศาสนาสุดท้ายแห่งองค์สมเด็จพระมหาสมณโคดม... (สามารถโหลดฟังฉบับสมบูรณ์ได้จาก การพัฒนาจิต พุทธทำนาย)

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การมีเมตตาอย่างแท้จริง

ถ้ามนุษย์ยังไม่เข้าใจธรรมชาติ
การมีเมตตาอย่างแท้จริง
จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
มนุษย์รู้ทุกๆ อย่างบนโลกนี้
ล้วนเป็นธรรมชาติ
แล้วถามว่าใครเป็นผู้สร้างธรรมชาติละ
ไม่มีใครตอบได้อย่างเต็มปาก
เพราะไม่มีหลักฐานใดมายืนยัน
แต่บางคำสอน ก็บอกบอกว่า
พระเจ้าสร้างโลก
แล้วพระเจ้าสร้างโลก
และมนุษย์มาเพื่ออะไร
มีใครเคยคิดบ้างไหม
พระเจ้าให้มนุษย์เกิดมา
เพื่อใช้ปัญญาอันประเสริฐยิ่งของตนเอง
มาสร้างความดี มาเป็นผู้ให้
พร้อมทั้งส่งอุปกรณ์ต่างๆ
มาให้มนุษย์ได้เรียนรู้
พิจารณาดูซิว่า บนโลกนี้
ถ้ามีแต่สัตว์และธรรมชาติ
ทุกอย่างบนโลกนี้ก็สมดุลอยู่แล้ว
แต่ถ้ามนุษย์ไปอยู่ตรงไหน
ตรงนั้นละ ก็มักจะไม่สมดุล
ยิ่งมีมนุษย์ตรงไหนมาก
ยิ่งมีการทำลายมาก
ทำลายแล้วไม่สร้าง
ไม่ปรับความสมดุล
ความสมดุลของธรรมชาติ
จะคงอยู่ได้อย่างไร
เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่โลภ
อยากได้อะไรมากๆ
ก็จึงเกิดการทำลาย
และเบียดเบียนกันมาก

เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า
ฟ้าได้ส่งสัญญาณเตือนมนุษย์
มาครั้งแล้ว ครั้งเล่า
มนุษย์จะรู้สึกกันบ้างหรือเปล่าว่า
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม ภัยพิบัติต่างๆ
คลื่นนามิ แผ่นดินไหว
เชื้อโรคต่างๆ ไข้หวัดนก โรคซาร์
ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ และอื่นๆ
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
มนุษย์รู้ไหมว่า
ทำไมต้องมีโรคนั้นโลกนี้
โรคนี้มีมาเพื่ออะไร
ใครส่งมา ส่งมาทำไม
มนุษย์เคยสังเกตเรื่องนี้ไหม
เป็นเพราะมนุษย์โลภเกินไป
เห็นแก่ตัวเกินไป
ทำลายธรรมชาติมากเกินไป
ซึ่งมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว
ฟ้าส่งมนุษย์ลงมา
เพื่อให้มนุษย์มาฝึกความเป็นผู้ให้
แต่มนุษย์กำลังแย่งชิงการเป็นผู้เอา
หาประโยชน์ให้แก่ตัวเองเพียงอย่างเดียว
เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น มากขึ้น
โดยไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
และธรรมชาติ

ฟ้าให้ธรรมชาติกับมนุษย์มา
เราเคยสังเกตไหมว่า
ฟ้าประทานต้นไม้ทุกต้นให้กับมนุษย์
มีหลากหลายเผ่าพันธุ์ นับไม่ถ้วน
ให้ต้นไม้เพื่อเป็นต้นแบบของการให้
ให้มนุษย์ได้ศึกษาเรียนรู้
เราเคยสังเกตไหมว่า
ทำไมต้นไม้มีทั้งอายุสั้น อายุยืน
มีทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่
มีทั้งชนิดมีดอก แลบางชนิดมีผล
ดอกไม้บางชนิดก็สวยมาก
บางชนิดก็สวยน้อย
บางชนิดดอกเล็ก บางชนิดดอกใหญ่
ดอกไม้แต่ละดอก สวย
และวิจิตรพิสดารขนาดไหน
เคยพิจารณาให้ละเอียดบ้างไหม

สิ่งเหล่านี้สอนธรรมะให้เราได้ทั้งสิ้น
ธรรมชาติเหล่านี้สอนธรรมมะได้
ความหลากหลายของธรรมชาติ
เปรียบกับมนุษย์มีหลายเผ่าพันธุ์
และหลากหลายความคิด
มีทั้งอายุสั้น และอายุยืน
เช่นเดียวกับต้นไม้นั่นแหละ
ต้นไม้ มีทั้งต้นใหญ่ ใบใหญ่
และต้นเล็ก ใบเล็ก
ในขณะเดียวกัน ก็มีต้นไม้
ที่ต้นใหญ่ แต่ใบเล็ก
ส่วนต้นเล็ก แต่ใบใหญ่ มีทั้งนั้น
มีไว้ให้มนุษย์ได้ศึกษาเรียนรู้
เพื่อให้เกิดปัญญา

ต้นไม้ใหญ่ ใบใหญ่ เปรียบเสมือน
มนุษย์บางคน ตำแหน่งใหญ่ หน้าที่ใหญ่
มีโอกาสเป็นผู้ให้ได้มาก
และทำตัวเป็นผู้ให้ได้มาก

มนุษย์บางคน ในอดีตชาติ
สร้างสะสมบุญไว้น้อย
เกิดมามีตำแหน่งหน้าที่การงานเล็ก
จึงทำหน้าที่ได้น้อย
เหมือนต้นไม้ที่มีต้นเล็กแลมีใบเล็ก

บางคนเกิดมามีตำแหน่งใหญ่
รับหน้าที่การงานใหญ่
แต่ทำประโยชน์ได้น้อย
เป็นผู้ให้ได้น้อย
เหมือนต้นไม้ต้นใหญ่ แต่มีใบเล็ก

ส่วนบางคนเกิดมามีตำแหน่งเล็ก
หรือไม่มีตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์
แต่ตนเองก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือ
เพื่อนมนุษย์อย่างเต็มที่
เต็มความสามารถ
และสามารถทำประโยชน์กับผู้อื่นได้มาก
เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่
สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นได้มากมาย
เหมือนต้นไม้เล็กแต่มีใบใหญ่

ธรรมชาติสอนมนุษย์นะ
แต่มนุษย์เคยเรียนรู้อะไร
จากธรรมชาติบ้างหรือเปล่า

มีความสุขแบบที่เรามีก็พอแล้ว


ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ

ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนตายที่หมดลม
ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา
ถ้าสตางค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา
ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า
อย่ามองแต่ฟ้า . . .ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน
ไม่จำเป็นต้องรวย  มีความสุขแบบที่เรามีก็พอแล้ว

การที่รูปปั้นของพุทธองค์


การที่รูปปั้นของพุทธองค์
นั่งเพ่งสายตาลงต่ำ
เพื่อสื่อความหมายให้มนุษย์เข้าใจ
และเกิดปัญญาว่า
ให้แต่ละคนมองดูตัวเอง
พิจารณาแก้ไขตนเอง
แล้วโลกจะสงบเย็นเอง

ขณะนี้มนุษย์คิดแก้ไขตนเอง
หรือพยายามแก้ไขผู้อื่น
ถ้ามนุษย์แก้ไขตนเอง
ชีวิตก็จะเป็นสุข
แต่ถ้ามนุษย์มองดูแต่ผู้อื่น
พยายามจะแก้ไขผู้อื่น
ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด
ความสามัคคีจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
ถ้ามนุษย์ไม่ดูตนเอง

ถ้ามนุษย์ดูตนเองให้มากขึ้น
มนุษย์จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนเอง
ชีวิตมนุษย์จะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น
เพราะการที่มนุษย์ได้ดูตัวเอง
ทำให้มนุษย์ได้รู้สุข รู้ทุกข์ของตัวเอง
สามารถวางทุกข์ของตัวเองได้
แล้วมนุษย์จะมีความสุขได้
เมื่อสุขแล้วจึงค่อยพิจารณาวางสุขได้
เมื่อมนุษย์วางสุขได้
ในที่สุด ปิติก็จะเกิดขึ้น
ไม่มีใครวางทุกข์ วางสุขให้ใครได้หรอก
นอกจากตัวเอง
นี่แหละเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำต่อตนเอง

อภัย
ทำไมมนุษย์จึงอภัยกันได้ยาก
เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ
เรื่องกฎแห่งกรรม
หากมีใครมาทำอะไรกับตนเอง
สิ่งนั้นเราอาจเคยกระทำกับเขาไว้ก็ได้
ให้รู้จักขอบคุณ ที่เขามาให้เจ้าชดใช้กรรม
และขอโทษเขาที่เจ้าเคยกระทำกับเขาเช่นนี้มาก่อน
ถ้าเขาด่าเรา ก็ขอบคุณเขา ขอบคุณด้วยใจ
ที่เขาได้เปิดโอกาสให้เราได้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้กับเขา
และขอโทษเขาด้วยความจริงใจนะ
นึกถึงสิ่งที่เจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้
ไว้กับใครบางคนมาก่อน
การดำเนินชีวิตของมนุษย์
จึงควรมีแต่ขอบคุณ ๆ ๆ

ขอบคุณมนุษย์ด้วยกัน
ขอบคุณสรรพสิ่ง
ขอบคุณธรรมชาติ
และขอโทษในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไปทุกสถานที่
ก็ขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่นั้น
ที่เจ้าอาจเคยล่วงเกินเขามาก่อน
ตั้งแต่อดีตชาติ หรือปัจจุบันชาติ
โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้
ขออโหสิกรรม กับทุกๆสถานที่ ที่เราไป
ขออโหสิกรรม กับทุกๆคน ที่เจ้าได้พบได้เจอ
ขออโหสิกรรม กับทุกๆ ดวงวิญญาณ
ที่เราเคยกระทำไม่ดีกับเขาไว้

ลองนำไปปฏิบัติดู
หลังจากนั้นลองสังเกตชีวิตตนเอง
ว่าชีวิตมีความสุขขึ้นหรือไม่

ดอกบัว

ทำไมก้านใบ กับก้านดอกจึงแยกกัน
สิ่งนี้สอนมนุษย์ว่า
กิเลส กับธรรมะ แยกจากันโดยสิ้นเชิง

ส่วนที่อ่อนที่สุดของดอกบัวอยู่ที่ไหน
ดอกบัวมีสิ่งห่อหุ้มคือ กลีบดอกที่อ่อนนุ่มที่สุด
สิ่งที่เปราะบางที่สุดอยู่นอกสุด
เปรียบกับมนุษย์ได้ว่า
มีอารมณ์ห่อหุ้มตัวเอง หวั่นไหวได้มากที่สุด
ต้องระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุด

ใบบัวไม่ยอมให้น้ำยึดติดแม้แต่น้อย
ทั้งๆ ที่น้ำก็บริสุทธิ์ เขาสอนมนุษย์ว่า
ดำเนินชีวิต อย่ายึดติดทั้งดี และชั่ว
น้ำเป็นสิ่งดี แต่ใบบัวก็ยังไม่ให้น้ำยึดติด
ดี หรือไม่ดี ก็ไม่ยึดติดทั้งสิ้น
มนุษย์ทำอย่างใบบัวได้ไหม
ที่ไม่ยึดติดสิ่งใด
เพราะการกลับนิพพานได้
ต้องไม่ยึดติดอะไรเลย
เพราะการยึดติด
ก็เป็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์

พุทธศาสนา สอนให้คนเกิดปัญญา

พุทธศาสนา สอนให้คนเกิดปัญญา
และใช้ปัญญาพัฒนาตนเอง ให้มีความสุข
การอ่านบทความ ก็เช่นเดียวกัน
ต้องใช้ปัญญาในการอ่าน และพิจารณา
สรรพสิ่งในโลกนี้ ทั้งคุณ และโทษ
มันขึ้นอยู่กับปัญญาของเราว่า
จะเลือกสิ่งที่มีคุณ หรือมีโทษมาใส่ตัว
คุณจะคิดอย่างไรกับบทความนี้ มันเป็นเรื่องของคุณ
แต่ควรอ่านให้จบ แล้วนำสิ่งดีๆ ในบทความ
มาพัฒนาชีวิตของเราให้ดีขึ้น

กรุณาใช้ใจอ่านอย่างพิจารณา
อ่านแล้วทำความเข้าใจ
ธรรมมะทุกตัวอักษรสามารถเปลี่ยนชีวิตท่านได้
อย่าเพิ่งสงสัยก่อนจะอ่าน
อย่าเพิ่งมีคำถามว่าจริงหรือ
อ่านให้จบแล้วพิจารณาว่า
มีประโยคใดบ้าง
ที่นำไปใช้แล้วทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้น

จริงหรือไม่
ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องพิสูจน์
ประเด็นสำคัญคือเนื้อหาสาระของธรรมะ
มีประโยคใดบ้าง
ที่นำไปใช้แล้วทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้น
คุณจะได้พบกับ
องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าเช่นกัน
ดั่งที่พุทธองค์ตรัสไว้ว่า

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม

ท่านอาจจะสงสัยว่า
เป็นไปได้หรือ จริงหรือ
คิดไปเองหรือเปล่า
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง
เมื่อได้ปฏิบัติภาวนามัยปัญญา
จะเข้าใจและรับรู้ด้วยตนเอง
จนปราศจากความสงสัยทั้งปวง

ฟ้าส่งมนุษย์มาเพื่อฝึกความเป็นผู้ให้
แต่มนุษย์กำลังแย่งชิงการเป็นผู้เอา
ถ้ามนุษย์มองดูแต่ผู้อื่น
พยายามแก้ไขผู้อื่น
ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความสามัคคีจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
ถ้ามนุษย์ไม่ดูตนเอง

ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่ความเป็นที่สุด
แต่อยู่ที่ความพอดี

ปิตินี่แหละคือนิพพานบนโลกมนุษย์
เมื่อเกิดปิติบ่อยๆ ในชีวิต
เกิดสภาวะจิตที่เป็นนิพพานบนโลกมนุษย์บ่อยๆ
เมื่อละจากโลกนี้จิตจะลุถึงนิพพานเบื้องบนได้ไม่ยาก



การไม่ยึดติด หมั่นลดละกรรม
มีจิตเมตตา มีจิตเป็นกลาง ไม่มองผู้ใดผิด การปล่อยวาง
แม้จะยังไปไม่ถึงนิพพานเบื้องบนและเบื้องหน้า
ก็คงทำให้เรามีความสุขในขณะปัจจุบันได้

ท่านอาจมีคำถามในใจเมื่อเริ่มอ่านว่า
จริงหรือ ใช่หรือ เป็นไปได้หรือ ทำได้จริงหรือ
หรือมีคำถามที่ท่านสงสัยอีกมากมาย
ผมห้ามความคิดและความสงสัยของใครไม่ได้
ท่านคิดอย่างไรก็ถูกของท่าน
เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะมีความสงสัย
ว่าจะเป็นจริงหรือ
ในเมื่อได้ศึกษาเรียนรู้กันมามันเป็นอีกแบบ
เป็นความเชื่อเก่าๆ ที่เราถูกปลูกฝังกันมานาน

ลองเปิดใจให้กว้าง เปิดใจศึกษา
ดูเหตุและผลเสียก่อน
อย่ามัวแต่ถามว่าจริงหรือไม่จริง
มันทำให้ท่านได้ประโยชน์อะไรหรือไม่

ท่านลองอ่านดูก่อน
และใช้พิจารณาของท่านดู
ว่าคำกล่าวเหล่านี้
ท่านเคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ไหนหรือไม่
ถ้านำมาปฏิบัติแล้ว
จะทำให้ชีวิตท่านเปลี่ยนไปได้หรือไม่
ถ้าคำกล่าวเหล่านี้
สามารถเปลี่ยนชีวิตของท่านให้มีความสุขได้
จะเสียเวลาไปพิสูจน์ เพื่ออะไร
คำกล่าวจะดีกับท่านหรือไม่นั้น
ผมบอกไม่ได้หรอกครับ
ตัวท่านเท่านั้นที่บอกตัวท่านเองได้ดีที่สุดว่า
คำกล่าวนั้นทำให้ชีวิตของท่าน
ดีขึ้นได้จริงหรือไม่

ท่านคิดทำอะไรในสิ่งที่ดี ก็ดีทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ทำ
ถ้าท่านตั้งใจทำดี ย่อมดีแน่นอน
ถ้าใครเห็นประโยชน์แล้วนำไปใช้
ก็ดีกับชีวิตเขาเอง
ถ้าใครไม่เห็นประโยชน์ก็เรื่องของเขา
เพราะมนุษย์ทุกคน
ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุด
ให้กับตัวเองเสมอ

การติดดีวางยากกว่าการติดชั่ว
ทำความดีแล้วอยากให้คนอื่นได้รู้ไหม
พยายามจะไปสอนคนที่เขาไม่พร้อมที่จะฟังไหม
พูดเกินเวลาที่กำหนดไปไหม
รู้สึกหงุดหงิดมั๊ย ถ้ามีบางคนไม่ฟังที่เราพูด
เราสอนคนอื่นให้เป็นคนดี
ถ้าเขาไม่ดีดังหวังเจ้าเป็นทุกข์กับเขาไหม
เวลาทำความดี แล้วมีคนมาว่าเราไม่ดี เราทุกข์ไหม
ไม่ว่าจะติดดี ติดชั่ว
ก็สามารถทำให้เราทุกข์ได้พอๆ กัน