วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ธรรมะมีความลึกซึ้งแยบยล

 

ธรรมะมีความลึกซึ้งแยบยล ที่มิอาจมองดูรู้ หรือเห็นได้ 

คุณสมบัติของธรรมะ เรียกว่าสัจธรรม

สัจธรรมที่เป็นธรรมภาวะอยู่กับมหาจักรวาล เรียกว่า ธรรมชาติ

ดำรงอยู่ในกายสังขารเรียกว่า ชีวิตจิตวิญญาณ” 

ชีวิตจิตญาณจึงหมายถึงสัจธรรม

หรือธรรมะที่เป็นหลักของกายสังขารชีวิตจึงเป็นธรรมญาณตัวรู้ ตัวควบคุมบงการกายสังขารหมายความว่ากายสังขารเป็นตัวปลอมจิตญาณเป็นตัวจริง ดังที่ศาสนาพุทธได้กล่าวไว้เช่นกันสรุปสั้นๆ

ธรรมะก็คือธรรมชาติเป็นสัจธรรมจักรวาล ที่ดำรงอยู่โดยหาต้นหาปลายไม่ได้

อยู่บนฟ้าเรียก หลักสัจธรรมของฟ้า

อยู่ในแผ่นดินเรียกหลักภูมิศาสตร์

อยู่ในตัวมนุษย์เรียกว่าจิตญาณ

องค์ศาสดาทุกศาสนายังไม่อุบัติลงสู่โลกมนุษย์ ธรรมนี้ก็ดำรงอยู่แล้ว เมื่อองค์ศาสดาทั้งห้า รับรู้ธรรมะนี้แล้ว จึงได้นำสัจธรรมนี้ไปเทศนาอบรมสั่งสอนผู้คนทั้งหลาย ให้คิดดีประพฤติชอบจึงเรียกเป็น ศาสนา

ธรรมะนี้จากแดนนิพพาน พระแม่องค์ธรรมหรือพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดประทานลงสู่โลกครั้งแรกที่ประเทศจีน เมื่อประมาณห้าพันปีก่อน กษัตริย์ฝูซีเป็นผู้รับธรรมะเป็นองค์แรก แล้วก็ได้สืบทอดกันต่อๆมา มีพงศาธรรมของจีนจารึกเอาไว้ จากประเทศจีนไปสู่อินเดีย สามศาสนาก็เกิดขึ้น คือ พุทธ เต๋า และปราชญ์ จากอินเดีย พระโพธิธรรมเถระเจ้าองค์สุดท้าย (ตั้กม้อ) ก็ได้นำธรรมะกลับสู่ประเทศจีน เมื่อรัชสมัยเหลียงอู่ตี้ 

ธรรมะได้สืบทอดต่อมาจนถึงปี พ.ศ.2473 พระแม่องค์ธรรมหรือองค์พระเจ้า ก็ได้มีบัญชา หรือพระโองการฟ้าประกาศิตสู่โลก ให้พระบรรพจารย์กงฉัง และจื่อซี่ ทั้งสองพระองค์ รับหน้าที่โปรดฉุดช่วยทั้งสามโลกพร้อมกัน คือฉุดช่วยวิญญาณบรรพชนของเราในยมโลก ให้กลับคืนสู่แดนนิพพาน บ้านเดิมของจิตญาณธรรมะนี้เรียกชื่อเต็มว่า อนุตตรธรรม

อนุตตร แปลว่า ดียิ่ง ยอดเยี่ยม วิเศษสูงส่งที่สุด ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน รวมเข้าด้วยกัน จึงแปลว่า ธรรมะหนึ่งเดียวที่ดียิ่งสูงสุด เป็นหนทางที่จะนำจิตญาณของคนเรากลับคืนสู่แดนนิพพานบ้านเดิมสิ้นสุดหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารหกวิถี

ศาสดาทั้งห้าต่างอุบัติลงมาเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ในซีกโลกต่างๆ หลังจากที่ศาสดาทั้งหลาย ตรัสรู้อนุตตร ภาวะในตนแล้ว จึงออกสั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์ คำสอนต่างๆ จึงถูกรวบรวมขึ้นเรียกว่าพระธรรมคัมภีร์ในศาสนานั้นๆ สาธุชนทั้งหลายที่นับถือศาสนาใดก็นำคำสอนในคัมภีร์ของศาสนานั้นๆ มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญ เพื่อให้จิตใจบริสุทธิ์ สะอาด มีคุณธรรม และบำเพ็ญเช่นนี้ข้ามภพชาติเรื่อยมา จวบถึงปัจจุบันนี้ เราจึงมีบุญกุศลที่สั่งสมมาแล้ว ส่งผลให้ได้มารับวิถีอนุตตรธรรม ซึ่งเปรียบเสมือนรากเหง้าของศาสนาต่างๆ ที่องค์ศาสดาทั้งหลายได้ตรัสรู้

เพราะฉะนั้นธรรมะจึงเป็นแก่นของศาสนาทั้งหลาย ไม่ว่าองค์ศาสดาทั้งห้าจะอุบัติมาหรือไม่ ธรรมะก็มีอยู่แล้วในโลกนี้ เพราะธรรมะดำรงอยู่คู่ฟ้าดิน คู่จักรวาล ธรรมะเป็นผู้ควบคุมและก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล อยู่ภายนอกกายเนื้อ เป็นหลักสัจธรรมของฟ้าดิน เรียกว่า ธรรมชาติอยู่ภายในกายเนื้อเป็นหลักสัจธรรมของคนเรียกว่า ธรรมญาณ

อนุตตรธรรม จึงเป็นธรรมะหนึ่งเดียวไม่มีสอง หรือเรียกว่า เอกธรรมมรรค” ที่ในอดีตพระอริยเจ้าทั้งหลายได้รับรู้ หรือรู้แจ้งสำเร็จไป ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอิม ฯลฯ เป็นต้น

แต่คนเราเมื่อเกิดมา แล้วมักจะลืมตัวว่าตัวเองมาจากไหน ทุกคนส่วนมากเมื่อรับธรรมะแล้ว มักจะไม่ได้บำเพ็ญจริง จึงทำให้สิ่งศักดิ์ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ และผู้บำเพ็ญดี ต้องกลับลงมาเกิดอีก แล้วหลงลืมตัวเอง แล้วจะทำให้เข้าใจว่า ทุกคนที่เกิดมาเมื่อปฏิญาณลงมาแล้วต้องบำเพ็ญให้สำเร็จ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น