วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จิตภาคแบ่ง



จิตภาคแบ่ง
"จิตภาคแบ่ง" สามารถรับกรรมแทนกันได้ ทั้งยังทำกิจเป็นองค์แทนกันได้
พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมาก จะเลื่อนจากสวรรค์ชั้นดุสิต ขึ้นไปยังพุทธเกษตรที่นั่นท่านจะสำเร็จเป็น "มหาโพธิสัตว์" และได้รับธรรมจากพระยูไล ทำให้สามารถ "แบ่งภาคได้มากมาย" (บางพระองค์มีภาคแบ่งเป็นหมื่นโกฏิ ก็มี)เมื่อภาคแบ่งของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีร่างมากกว่า ๑ ร่าง ที่จะอยู่ภายใต้ "เครือข่ายมหาโพธิสัตว์" องค์นั้นๆ ซึ่งท่านจะคอยเชื่อมโยงการทำกิจต่างๆ อยู่เบื้องบน นอกจากนี้ ยังมีจิตภาคแบ่งที่กระจายไปยังสามภพหรือโลกธาตุอื่นๆ อีกด้วย จิตภาคแบ่งเหล่านี้ นอกจากจะสามารถทำกิจโดยเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้แล้ว หรือคานดุลยภาพกันเองแล้ว (กิจขัดแย้งกัน) ยังสามารถ "รับกรรม" แทนกันได้ และ "รับกิจ" เป็นองค์แทนในการทำกิจแทนกันได้ด้วย ดังจะได้อธิบายในส่วนต่างๆ ต่อไป
เมื่อแบ่งภาคจิตแล้ว จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์มากกว่า ๑ คน มนุษย์เหล่านี้จะอยู่ภายใต้เครือข่ายมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกัน ไม่ใช่ปัจเจกบุคคล แต่จะอยู่อย่างเชื่อมโยงกัน สมมุติเช่น นาย ก. ถึงวาระต้องได้รับวิบากกรรมแล้ว แต่ได้สร้างบุญบารมีมากได้ทันก่อน ในขณะที่ นาย ข. (อีกภาคแบ่งหนึ่ง) กลับสร้างบุญบารมีได้น้อย ผลคือ "วิบากกรรม" แทนที่จะถึงแก่ นาย ก. ก็จะไหลไปสู่ นาย ข. แทน อันเป็นผลจากการบำเพ็ญบุญบารมีหนุนส่งของ นาย ก. นั้น และผลจาก "เครือข่ายภาคแบ่งจิตของมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกัน" เพื่อให้จิตภาคแบ่งใดที่บำเพ็ญบารมีน้อย อ่อนแอเกินไป ได้เร่งบำเพ็ญบุญบารมีให้มากขึ้น และภาคส่วนที่บำเพ็ญบุญบารมีมากแล้ว ได้เสวยสุข อยู่เฉยๆ รับกรรมน้อยลง จะได้ชะลอการบำเพ็ญบารมีลง เพื่อเฉลี่ยให้ได้บุญบารมีพอๆ กันในแต่ละภาคแบ่งนั้น ซึ่งในการที่คนๆ หนึ่ง จะถ่ายเปลี่ยนเวรกรรมลงสู่ภาคแบ่งของตนเอง (อีกร่างหนึ่ง) ได้นั้น เขาย่อมกระทำโดยไม่มีมิจฉาทิฐิ คือ พร้อมยอมรับกรรมทุกอย่างแล้ว แต่ถึงวาระกรรมมาถึง เขากลับไม่ได้รับ เพราะบุญบารมีที่สร้างไว้หนุนส่ง นั่นเอง และยังต้องไปพบปะกันบ้าง อย่างน้อยเห็นหน้าที่ได้ทักทายกัน ก็จะสามารถถ่ายเทบุญกรรมสู่กันได้ เหมือนน้ำที่อยู่คนละภาชนะ หากจะให้ไหลไปมาหากัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ต้องมี "สายเชื่อมโยง" ซึ่งก็คือ "กรรมที่กระทำร่วมกัน" เช่น ไปพบเจอกัน, พูดคุยกัน, หรือทักทายกัน อย่างน้อย เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังสามารถ "ถ่ายทอดกิจ" ให้เป็น "องค์แทน" ในการทำกิจหนึ่งๆ แทนกันได้ด้วย เช่น ถ้า นาย ก. ไม่อยากเป็นพระราชา และทราบว่ามีภาคแบ่งหนึ่งของตนที่พร้อมรออยู่ แล้วไปหาเขา ถ่ายทอด "จิตวิญญาณ" บางดวงในร่างของเขาให้ไป ก็จะสามารถถ่ายทอดกิจ ให้เป็นตัวแทน หรือ "องค์แทนภาคมนุษย์" ในการทำกิจเป็นพระราชาต่อไปได้ด้วย สำหรับท่านที่มีญาณหยั่งรู้สูงๆ หากต้องการสับเปลี่ยนบทบาท การทำกิจต่างๆ ก็สามารถทำได้ โดยการเข้าหาภาคแบ่งของตัวเอง เพื่อเชื่อมโยงร่างสังขารกันผ่านกรรมเล็กๆ เช่น การมองกัน, การได้พบกัน ฯลฯ เพียงเท่านี้ ก็สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณบางดวงสู่ร่างมนุษย์อีกร่างหนึ่งให้ทำหน้าที่แทนได้ ด้วยวิธีนี้ ทำให้จิตภาคแบ่ง "สามารถเลือกได้" ว่าจะทำกิจใด ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับ "บุญบารมี" ที่ได้สร้างทำไว้ในชาตินั้นๆ ด้วย (หากไม่มีบุญบารมีหนุนส่ง หรือไม่มีกรรมเปิดช่องให้ ก็ไม่สามารถรับกิจรับกรรมนั้นๆ ได้)
ขุมปัญญาและความสามารถต่างๆ ของจิตภาคแบ่งทุกดวง ล้วน "ไม่ใช่ตัวตนของตน" แต่เป็น "สมบัติสาธารณะ" ที่ทุกจิตภาคแบ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมด หากจิตภาคแบ่งดวงใดดวงหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง เชื่อมต่อเข้ากับ "คลังบารมีเครือข่ายมหาโพธิสัตว์" นั้น ก็สามารถรับปัญญาและความสามารถพิเศษต่างๆ ไปได้ ไม่ว่าร่างสังขารนั้นๆ จะตายจากภพหนึ่งภพใดหรือยังก็ตาม เช่น นาย ก. ฝึกธาตุไฟ, นาย ข. ฝึกธาตุน้ำ ทั้งสองยังไม่ตายและเป็นภาคแบ่งที่มาจากเครือข่ายพระมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกัน ก็สามารถเชื่อมโยงความสามารถพิเศษ หรือแลกเปลี่ยนกันได้ ดังนั้น จึงปรากฏว่าบางท่าน ไม่ทันได้ฝึกอะไรมาก ก็มีความสามารถสูงได้ หรือในนิยายกำลังภายในที่ตัวเอกของเรื่องไม่ได้ฝึกอะไรมาก ไม่ได้ฝึกยาวนาน แต่กลับกลายเป็นยอดยุทธได้ เหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ถ้า "เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบเครือข่าย" ได้อย่างถูกต้อง เพราะสิ่งเหล่านี้ "เป็นบารมีเก่าร่วมกัน" มาก่อนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเริ่มต้นจาก ๐ สามารถก้าวต่อยอดของเก่าที่เคยทำไว้ได้เลย
การเกิดใหม่ในร่างของภาคแบ่ง โดยการแบ่งภาคจิตของตนเองในสังขารเดิม ให้มีจิตมากกว่า ๑ ดวง สมมุติมี ๓ ดวงในร่างกาย ก็สามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณที่แบ่งภาคออกมาแล้วนั้น ไปยังร่างสังขารอื่นๆ ที่เป็นจิตภาคแบ่งในเครือข่ายของพระมหาโพธิสัตว์องค์เดียวกันได้ เช่น พระเมมตรัยแบ่งภาคเป็น นาย ๑, ๒ และ ๓ ถ้านาย ๑ แบ่งภาคจิตในสังขารเดิมของตน แล้วบำเพ็ญจิตทั้งสองดวงสำเร็จเซียน ก็สามารถถอดจิตแล้วไปถือกำเนิดใหม่ในร่างของนาย ๒ และ นาย ๓ ได้ ทำให้สามารถทำกิจได้โดยมีร่างสังขารเพิ่มเป็น ๓ ร่าง สมมุติ นาย ๑ อยากเป็นพระช่วยทางธรรม, อยากเป็นฆราวาสช่วยทางโลก นาย ๑ ก็แบ่งภาคจิต แล้วบำเพ็ญจิตภาคแบ่งนั้นให้สำเร็จเซียนก่อน จิตที่แบ่งออกมาก็สามารถไปจุติ (เกิดใหม่) ในร่างมนุษย์ร่างอื่นที่เป็นภาคแบ่งหนึ่งของตนได้ ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งพระและฆราวาสได้ด้วยพร้อมๆ กัน ซึ่งการจะทำได้ถึงขั้นนี้ต้องบำเพ็ญบารมีจิตขั้นอุกฤษต์ทีเดียว
การต่ออายุขัยให้ยืนยาวขึ้นโดยอาศัย "จิตภาคแบ่ง" ที่ตนได้แบ่งภาคแล้วเวียนว่ายอยู่ในภพมนุษย์ยังไม่หลุดพ้นไปไหน สามารถใช้จิตวิญญาณเหล่านี้ ต่ออายุขัยไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีจิตวิญญาณให้ต่ออายุขัยในร่างนั้นๆ หรือร่างนั้นๆ เสื่อมโทรมจนไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป จึงค่อยละสังขารก็ได้ ด้วยวิธีนี้ สังขารนั้นจะอยู่เหนือโลก เหนือพรหมลิขิต สามารถเป็นไปได้ตามแต่ต้องการ ซึ่งผู้ที่ฝึกจิตได้ถึงขั้นนี้แล้ว มักไม่นิยมความอายุยืน และปลงตกอย่างยิ่งยวดแล้ว พร้อมละสังขารตลอดเวลาอยู่แล้ว การต่ออายุขัยด้วยการหาจิตวิญญาณมาเสริมเพิ่มในกายสังขารเดิมนี้ จะทำให้จิตวิญญาณดวงใดที่หมดวาระในร่างสังขารนั้นได้จรออกไป แล้วจึงมีจิตวิญญาณดวงอื่นมาเสริมในร่างสังขารนั้นๆ เพื่อทำหน้าที่ต่อได้ สังขารนั้นๆ ก็จะมีอายุขัยยืนยาวต่อไปอีกได้ ทว่า จะส่งผลให้สังขารนั้นๆ เหมือนคนผีเข้าผีออก คือ มีจิตใจเปลี่ยนแปลงไป เรรวน หรือคล้ายกลายเป็นคนใหม่ หรือคนอื่นที่ไม่เหมือนเดิมก็ได้ ดังนั้น เมื่อจิตวิญญาณอื่นเสริมเข้ามาในร่างแล้ว จำเป็นที่ร่างสังขารนั้นๆ ต้องบำเพ็ญบารมีธรรมโปรดจิตวิญญาณนั้นๆ เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงชีพได้ตามปกติต่อไปได้ นั่นเอง
การทำกิจโดยใช้ "เครือข่ายจิตภาคแบ่ง" สามารถทำได้โดยการระลึกถึงว่าเรามิใช่ตัวตนตัวเดียว หรือปัจเจกชนที่มีอยู่คนเดียวโดดๆ แต่มีเรา, ร่างสังขาร, จิตวิญญาณ ในภพนี้และภพอื่นอีกมากมายที่เชื่อมโยงกันอยู่ เมื่อเข้าถึง "ประตูมิติแห่งจิตวิญญาณ" แล้ว จะเห็นและเข้าใจถึงการทำงานประสานกันของจิตวิญญาณมากมายของเราเอง ได้มากเท่าที่กำลังญาณจะไปถึง เช่น บางทีจะเห็นการทำงานร่วมกันของจิต ๓ ดวงบ้าง ๑๐ ดวงบ้าง ฯลฯ ก็จะเข้าใจกลไกลการทำงานแบบเครือข่าย และสามารถวางตัวเองให้ทำกิจใดกิจหนึ่ง ให้เชื่อมโยงหรือคานดุลยภาพกับร่างสังขารอื่นๆ ก็สามารถทำได้ เพื่อให้งานในภาพรวม กิจในภาพรวม เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น โดยที่ตนเองอาจไม่ต้องออกแรง, ออกโรง หรือออกตัวเลยก็ตาม เพราะร่างสังขารจำนวนมากมายที่แบ่งไปแล้วของตนนั้น สามารถกระทำแทนได้ทุกกิจ นั่นเอง
กายนั้นมี ๓ กาย คือ สัมโภคกาย (กายสังขาร), ธรรมกาย, และนิรมาณกาย ผู้ชำนาญในสามกายนี้ สามารถใช้สามกายทำงานได้อย่างพิสดาร โดยเฉพาะ นิรมาณกายนั้น สามารถมีได้มากมายนับไม่ถ้วน สัมโภคกายนั้น อาจเกิดจาก การแบ่งภาคได้มากมาย อันธรรมกายศูนย์กลางนั้น สามารถบริหารทุกกายได้ ไม่อาจนับได้ จึงสามารถทำกิจได้ ราวกับเป็นคนหลายๆ คน อย่างน่าอัศจรรย์

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 มีนาคม 2556 เวลา 17:52

    ผมว่าความเชื่อนี้น่าจะมีความเป็นไปได้สูงกับความเชื่อนี้ เพราะบางคน ที่มีความสามารถหลายอย่าง สามารถทำงานได้ดีในหลายๆด้าน โดยที่หลายๆคนคาดไม่ถึงว่าจะมี ความสามารถแบบนี้ซ่อนอยู่ ผมเป็นคนนึง ที่เคยร่วมทำงานกับคนที่มีลักษณะแบบนี้ พอมาอ่านเจอบทความนี้ และเชื่อเรื่องจิตแบ่งภาค มาช่วยเราทำงาน แต่ไม่ใช่เป็นการเข้าทรง เหมือนมีกระแสอะไรบางอย่าง ที่เราเคารพนับถือ มาดลจิตใจ ให้ร่างกายความคิดและจิตใจ ของเราทำงานได้อย่างราบรื่น รวมถึงการแก้ปัญหาและอุปสรรค์ พอทุกอย่างดำเนินและสำเร็จเป็นไป อารมณ์ตรงนั้นมันก็จะคลายไปจากตัวเรา บางทีเราไม่อยากเชื่อตัวเราเองว่าเราทำให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง อาจเป็นไปได้ ว่าเราก็คือมนุษธรรมดาคนนึง ที่ร่างกายและสภาวะจิตใจ มีคุณสมบัติ หรือความพร้อมที่ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะส่งกระแส มาช่วยให้เราทำงานได้สำเร็จ.......ในสิ่งที่ท่านต้องการให้เป็นไป.เรื่องนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ครับ


    ตอบลบ
  2. กราบแทบพระบาท ..พระอรหันต์โพธิสัตว์ญาณสังวร ..เป็นมหาบุญกุศล ขอติดตามพระองค์ทุกภพชาติ

    ตอบลบ